วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562

LGBT : วิจัยชี้ไม่พบ "ยีนเกย์" หน่วยพันธุกรรมเฉพาะที่ทำให้รักเพศเดียวกัน

LGBT : วิจัยชี้ไม่พบ "ยีนเกย์" หน่วยพันธุกรรมเฉพาะที่ทำให้รักเพศเดียวกัน


gay coupleImage copyrightGETTY IMAGES

ผลการศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรมครั้งใหญ่กับกลุ่มประชากรเกือบ 5 แสนคนพบว่า "ยีนเกย์" หรือหน่วยพันธุกรรมซึ่งทำหน้าที่กำหนดให้มนุษย์มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันโดยเฉพาะนั้น เป็นเพียงความเชื่อล้าสมัยที่ไม่มีอยู่จริง
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติตีพิมพ์ผลการวิจัยข้างต้นในวารสาร Science โดยระบุว่าได้วิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมจำนวนมากที่ได้จากคลังข้อมูลชีวภาพของสหราชอาณาจักร (UK Biobank) และจากฐานข้อมูลของบริษัท 23andMe ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นธุรกิจรับตรวจวิเคราะห์ดีเอ็นเอให้กับบุคคลทั่วไป
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลทางพันธุกรรมของกลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงราว 4% ซึ่งบอกว่าเคยมีประสบการณ์ทางเพศกับเพศเดียวกันมาแล้ว กับข้อมูลทางพันธุกรรมของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่ากลุ่มที่มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันมีความผันแปรทางพันธุกรรมที่แตกต่างจากคนทั่วไป (genetic variations) ในยีนอย่างน้อย 5 ตัว
อย่างไรก็ตาม ยีนที่มีความผันแปรเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมรักเพศเดียวกันในทางอ้อมทั้งสิ้น เช่นเกี่ยวข้องกับการรับรู้กลิ่นและการผลิตฮอร์โมนเพศ แต่ไม่มียีนตัวไหนเลยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นคนรักเพศเดียวกันโดยตรง
ทีมผู้วิจัยประเมินว่า ยีนที่มีความผันแปรดังกล่าวมีโอกาสจะทำให้เกิดพฤติกรรมแบบชาวสีรุ้งได้เพียง 1% เท่านั้น และปัจจัยทางพันธุกรรมโดยรวมมีผลทำให้คนเป็นเกย์ได้อย่างมากเพียง 25% โดยยังมีปัจจัยทางชีวภาพและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เข้ามามีอิทธิพลร่วมด้วย คล้ายกับเรื่องของความสูงที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลากหลายนอกเหนือไปจากพันธุกรรม

Rainbow flag at a gay pride paradeImage copyrightGETTY IMAGES

รองศาสตราจารย์ เบ็น นีล จากสถาบัน Broad Institute ของเอ็มไอทีและมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หนึ่งในทีมผู้วิจัยกล่าวว่า "พันธุกรรมมีผลไม่ถึงครึ่งในเรื่องของพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน แม้จะยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญอยู่"
"อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้ชี้ว่าไม่มียีนตัวใดตัวหนึ่งที่เป็นยีนเกย์โดยเฉพาะ ดังนั้นการตรวจดีเอ็นเอเพื่อให้ทราบว่าใครจะเป็นเกย์หรือไม่นั้น ไม่สามารถทำได้"
ด้านดร. จารุพล สถิรพงษะสุทธิ นักวิจัยอาวุโสของ 23andMe บอกว่า ผลการศึกษานี้สนับสนุนจุดยืนทางสิทธิมนุษยชนที่ว่าพฤติกรรมรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องธรรมชาติ และไม่ควรพยายามคิดค้นวิธี "รักษา" หรือแก้ไขความเป็นเกย์ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใดทั้งสิ้น
ทั้งนี้ ความเชื่อที่ว่ามี "ยีนเกย์" ซึ่งกำหนดพฤติกรรมรักเพศเดียวกันโดยเฉพาะนั้น มาจากงานวิจัยของ ดร. ดีน แฮเมอร์ นักพันธุศาสตร์ชาวอเมริกันเมื่อปี 1993 ซึ่งพบความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องหมายดีเอ็นเอ (DNA marker) บนโครโมโซมเอกซ์ (X) กับพฤติกรรมทางเพศของผู้ชาย แต่ในปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า พันธุกรรมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางเพศอย่างจำกัดและซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อสอบ O-NET ปี 2550

ข้อที่ 1. สารชีวโมเลกุลชนิดใดมีมากที่สุดของน้ำหนักแห้งในร่างกายคน ตัวเลือกที่ 1 : ไขมัน ตัวเลือกที่ 2 : โปรตีน ตัวเลือกที่ 3 : คาร์ไบ...